หลังจาก เลสเตอร์ ซิตี้ ผลงานฟุบ และทำท่ากู่ไม่กลับ ในที่สุด บอร์ดสโมสรก็มีคำสั่งปลด เคลาดิโอ รานิเอรี่ เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
เล่น GClub ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ไม่มีใครเชื่อว่า กุนซือมือเก๋าชาวอิตาเลี่ยน นำ “จิ้งจอกสีน้ำเงิน” ทะยานคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างเหลือเชื่อ เพราะเมื่อปี 2014 สโมสรแห่งนี้ยังอยู่ระดับแชมเปี้ยนชิพ ขณะ รานิเอรี่ เผชิญมรสุมชีวิตขนาดหนัก เดือนมิถุนายน ไม่ได้รับการต่อสัญญาจาก อาแอส โมนาโก ทั้งๆเขาพาเลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ลีก เอิง ในฤดูกาลแรกที่เข้ารับงาน และเป็นรองแชมป์ลีกฝรั่งเศส เดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน รานิเอรี่ ก็โดนทีมชาติกรีซไล่ออก หลังจาก 4 นัดภายใต้การคุมทัพของเขา ไม่ชนะเลย แถมพ่าย หมู่เกาะแฟโร 0-1 ในศึกยูโร 2016 รอบคัดเลือก
แต่กุนซือชาวโรมันคนนี้ไม่เคยยอมแพ้โชคชะตา สมัยเป็นนักเตะ รานิเอรี่ แจ้งเกิดกับ โรม่า ไม่ได้ และถูกสโมสรบ้านเกิดปล่อยทิ้งเมื่อปี 1974 หลังเล่นให้ทัพชุดใหญ่ฤดูกาลเดียว ย้ายไป คาตันซาโร่ ก็พาขึ้นมาเตะเซเรีย อา ถึง 2 ครั้งใน 3 ฤดูกาล ปี 1983 ช่วยให้ คาตาเนีย เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดเช่นกัน ก่อนแขวนสตั๊ดเมื่อปี1986 กับ ปาแลร์โม่ สโมสรที่เขาพาเลื่อนชั้นมาเตะเซเรีย บี เริ่มคุมทัพในฤดูกาล 1986-87 กับสโมสร วิกอร์ ลาเมเซีย และพาขึ้นมาเล่นในเซเรีย ซี 2 ได้ทันที ปีต่อมาย้ายไป คัมปาเนีย ปูเตโอลาน่า แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
รานิเอรี่ ช่วยให้ กายารี่ เลื่อนจาก เซเรีย ซี 1 มาอยู่เซเรีย อา ภายในเวลา 2 ฤดูกาล (1988-90) ทำให้ได้งานที่ นาโปลี ช่วงปี 1991–93 เขาปั้น จานฟรังโก้ โซล่า ขึ้นมาแทน ดีเอโก้ มาราโดน่า และทำให้ ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ได้เล่นในเซเรีย อา แต่โดนไล่ออกจนต้องไปอยู่ ฟิออเรนติน่า ช่วยให้สโมสรแห่งนี้เลื่อนชั้นกลับมาอยู่ลีกสูงสุดตั้งแต่ฤดูกาลแรก ด้วยนักเตะดาวรุ่งอย่าง ฟรานเชสโก้ ตอลโด้ และ คริสเตียโน่ ซาเน็ตติ จากนั้นนำ รุย คอสต้า จากโปรตุเกส มาเป็นจอมทัพแทน สเตฟาน เอฟเฟนแบร์ก จนเป็นแชมป์ โคปป้า อิตาเลีย ในปี 1996
จากนั้นคุม บาเลนเซีย ช่วงปี 1997-99 ช่วยให้ครองแชมป์ ยูฟ่า อินเตอร์โตโต้ คัพ (1998) และ โกปา เดล เรย์ (1999) แถมปั้น มิเกล อังเคล อังกูโล่ จนโด่งดัง ก่อนย้ายไป แอตเลติโก มาดริด แต่ลาออกหลังทำงานได้แค่ 8 เดือน เพราะผลงานย่ำแย่ แม้จะซื้อ จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ กับ จูนินโญ่ เปาลิสต้า ไปจากอังกฤษด้วยราคาแพง เดือนกันยายน 2000 รานิเอรี่ มาคุม เชลซี ในพรีเมียร์ลีก และพาเข้าชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ 2002 เข้ารอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2003-04 รวมทั้งเป็นรองแชมป์ลีกฤดูกาลเดียวกัน
สมัยอยู่ เชลซี รานิเอรี่ ให้โอกาสดาวรุ่งของสโมสรอย่าง จอห์น เทอร์รี่, โรเบิร์ต ฮูธ และ คาร์ลตัน โคล ได้ลงสนาม ขณะเดียวกันก็ดึงดาราดังๆทั้ง แฟร้งค์ แลมพาร์ด, เอ็มมานูเอล เปอตีต์, วิลเลียม กัลลาส, อาเดรียน มูตู, เบาเดอไวน์ เซนเด้น, โกล้ด มาเกเลเล่, ฮวน เวรอน กับ เฮอร์นัน เครสโป เข้ามาเสริม นำทัพชนะ 107 จาก 199 เกม ทำให้สโมสรกลับมามีลุ้นแชมป์ในรอบหลายปี แต่ไม่ถูกใจ โรมัน อบราโมวิช ซึ่งเข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรตั้งแต่ปี 2003 และ โชเซ่ มูรินโญ่ ได้รับช่วงต่อจาก รานิเอรี่ ในฤดูกาล 2004-05
ปี 2004 รานิเอรี่ กลับสเปนเพื่อคุม บาเลนเซีย แทน ราฟาเอล เบนิเตซ ซึ่งย้ายไป ลิเวอร์พูล แม้ช่วยให้สโมสรคว้าแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ด้วยการล้มแชมป์ยุโรปอย่าง ปอร์โต้ แต่โดนวิจารณ์เยอะ เพราะนักเตะชาวอิตาเลียนที่ดึงเข้ามาทั้ง สเตฟาโน่ ฟิออเร่, มาร์โค ดิ วาโย่, แบร์นาร์โด้ คอร์ราดี้ กับ เอมิเลียโน่ โมเร็ตติ ทำผลงานได้ไม่ประทับใจ ส่วนดาวรุ่งเช่น ดาวิด ซิลบา หรือ ราอูล อัลบิโอล กลับปล่อยให้สโมสรอื่นยืมตัว รานิเอรี่ โดนปลดในเดือนกุมภาพันธ์ 2005 หลังตกรอบ 3 ยูฟ่า คัพ จากนั้นก็ว่างงานเกือบ 2 ปี
ช่วงปี 2007-12 คือเวลากลับไปทำงานในอิตาลี แต่ไม่มีถ้วยรางวัลใดๆติดมือ เริ่มจาก ปาร์ม่า ซึ่ง รานิเอรี่ ได้คุม 16 นัด และช่วยให้รอดตกชั้นในฤดูกาล 2006-07 แม้มีข่าวกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่เขาเลือกเซ็นสัญญากับ ยูเวนตุส แต่ร่วมงานกัน 2 ฤดูกาล เขาก็โดนปลดเพราะพาทีมไปไม่ถึงแชมป์ลีก แต่ปี 2009 โรม่า ก็จ้างให้ไปคุมทัพแทน ลูชาโน่ สปัลเล็ตติ ทำให้ “หมาป่า” ทำสถิติไม่แพ้ 23 เกมรวดในฤดูกาลแรกที่พวกเขาได้อันดับ 2 ของศึกเซเรีย อา แต่เดือนกุมภาพันธ์ 2011 รานิเอรี่ ลาออกหลังลูกทีมโชว์ฟอร์มย่ำแย่ต่อเนื่อง
อินเตอร์ มิลาน คือสถานีลูกหนังลำดับถัดมา โดยเข้ามาแทน จาน ปิเอโร่ กาสเปรินี่ ช่วงเดือนกันยายน แต่ยังไม่ทันจบฤดูกาล 2011-12 หลังจากชนะแค่ 2 จาก 13 แมตช์ แถมตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยฝีมือของ โอลิมปิก มาร์กเซย เขาก็โดนแทนที่ด้วย อันเดรีย สตรามัชโชนี่ ที่ทำให้แฟนบอล “งูใหญ่” เสียใจจนถึงทุกวันนี้ เพราะไม่กี่เดือนถัดมาทำให้สโมสรพลาดโควตาไปเตะฟุตบอลยุโรปครั้งแรกในรอบ 15 ฤดูกาล ขณะ รานิเอรี่ ว่างงานแค่ 2 เดือน ก็ได้ไปชุบตัวกับ โมนาโก ซึ่งหล่นไปอยู่ลีก เดอซ์
การเดินทางของ รานิเอรี่ แสนยาวไกล เต็มไปด้วยหลากหลายรสชาต มีวันล้มเหลว และสมหวัง โดยเฉพาะการสร้างประวัติศาสตร์ช็อกโลกกับ เลสเตอร์ ซึ่งรวมถึงการปั้นนักเตะธรรมดาอย่าง เจมี่ วาร์ดี้, แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์ และ ริยาด มาห์เรซ ให้กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ภายในเวลา 1 ฤดูกาล
หลังจากนี้ ไม่ว่าเขาบนวัย 65 จะตัดสินใจหันหลังให้วงการเลยหรือไม่ โลกลูกหนัง จะไม่ลืมผลงานที่ รานิเอรี่ เคยฝากเอาไว้แน่นอน